สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงตามมาเมื่อมีการควบรวมกิจการคือการพิจารณาถึงกฎหมายต่างๆ
ที่ เกี่ยวข้องและจะต้องปฏิบัติตามให้ถูกต้อง ได้แก่ ประมวลรัษฎากร และ
พระราชบัญญัติแรงงาน พ.ศ. 2541
ดังนี้
5.1 ด้านภาษีอากร
ภาระภาษีอากรสำหรับประเทศไทยนั้นเป็นภาระภาษีแบบ
“ ด้านเดียว” ( Asymmetric Taxation) รัฐบาลจะเก็บภาษีจากรายได้ของกิจการในกรณีที่กิจการมีกำไรในแต่ละปีโดยจะคิดภาษีเป็นร้อยละของกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีประมวลรัษฎากรได้บัญญัติข้อกำหนดที่เกี่ยวกับภาระภาษีของการควบกิจการไว้ค่อนข้างมาก
โดยกำหนดว่ากิจการที่ควบจะต้องชำระบัญชีทั้ง
สองฝ่าย และแต่ละฝ่ายต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลตามการประเมินสินทรัพย์ใหม่
ณ วันที่มีการควบกิจการ นอกจากนี้ผู้ถือหุ้นทั้งสองฝ่ายต้องจ่ายภาษีเงินได้จากการขายทรัพย์สินจากเงิน ปันผล หรือรายได้จากการควบกิจการ
และยอดเงินขาดทุนสะสมของแต่ละบริษัทยังไม่สามารถตกทอดไปยังกิจการใหม่ที่เกิดขึ้นจากการควบกิจการอีกด้วย
การควบกิจการนั้นตามประมวลรัษฎากรมาตรา
73 ถือว่าบริษัทเดิมแต่ละบริษัทเลิกกิจการ และกรรมการของบริษัทใหม่มีหน้าที่แจ้งให้เจ้าพนักงานประเมินของกรมสรรพากรทราบถึงการควบบริษัทภายใน
15 วัน นับแต่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบกัน
มิฉะนั้นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรมีอำนาจสั่งให้บริษัทใหม่ดังกล่าวเสียเงินภาษีเพิ่มขึ้นอีก
1 เท่าของจำนวนเงินภาษีที่ต้องเสียและกรรมการของบริษัทใหม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการและเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลแทนบริษัทเดิมภายใน
150 วัน นับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีของบริษัทเดิมซึ่งน่าจะได้แก่วันที่นายทะเบียนรับจดทะเบียนบริษัทใหม่ที่เกิดจากการควบกัน
เนื่องจากการยื่นแบบแสดงรายการดังกล่าว กรรมการของบริษัทใหม่ต้องจัดการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิของบริษัทเดิมทุกบริษัท
หากผลการคำนวณปรากฏว่าบริษัทเดิมมีกำไรสุทธิก็ให้บริษัทใหม่รับผิดเสียภาษีแทนบริษัทนั้นในอัตราร้อยละ
30 ของกำไรสุทธินั้น แต่ถ้าผลการคำนวณออกมาแล้วพบว่าบริษัทเดิมขาดทุน
บริษัทใหม่ก็ไม่ต้องรับผิดเสียแทนบริษัทนั้น เพียงแต่มีหน้าที่ยื่นแบบแสดงรายการแทนเท่านั้น
ตามมาตรา 74
นอกจากนี้ภาษีอากรที่เกี่ยวข้องกับการควบกิจการของประเทศไทยที่สำคัญอีกรายการหนึ่ง
คือ ภาษีเฉพาะ ซึ่งภาษีเฉพาะนั้นเป็นการคิดภาษีในอัตราพิเศษสำหรับธุรกิจบางประเภทที่มีการควบกิจการระหว่างกัน
เช่น ธุรกิจเช่าซื้อ โดยบริษัทที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายจะต้องเสียภาษีเฉพาะนั้นจะต้องขออนุญาตจากกรมสรรพากรเป็นรายๆ
ไป
5.2 ด้านแรงงาน
สัญญาจ้างแรงงานเป็นสัญญาต่างตอบแทนที่คู่สัญญาเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน
ต่างฝ่ายต่างมีสิทธิและหน้าที่ต่อกันตามที่กำหนดในสัญญาจ้างแรงงาน อย่างไรก็ตามคู่สัญญาอาจโอนความสัมพันธ์ดังกล่าวไปยังบุคคลภายนอกได้แต่จะต้องเป็นไปตามเงือนไขที่กฎหมายกำหนด
การโอนความสัมพันธ์ตามสัญญาจ้างแรงงานเป็นการโอนฐานะความเป็นนายจ้าง และลูกจ้างเกี่ยวกับสิทธิ
และหน้าที่ไปยังบุคคลภายนอก อาจโอนได้ทั้งสิทธิและหน้าที่หรืออาจโอนเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งก็ได้
เมื่อพิจารณาในกรณีการควบรวมกิจการแล้ว ภายหลังจากการควบรวมกิจการ การโอนทั้งสิทธิ
และหน้าที่ของคู่สัญญาเป็นไปอย่างเด็ดขาดหรืออย่างถาวร ดังนั้นทรัพยากรบุคคลของทั้งสองบริษัทจะได้รับผลกระทบของการโยกย้าย
การเปลี่ยนแปลง รวมถึงการวางบุคลากรให้เหมาะสมกับตำแหน่งและลักษณะของงาน
ปัญหาการมีบุคลากรซ้ำซ้อนกันเป็นอีกปัญหาหนึ่งจึงอาจจะต้องมีบุคลากรบางส่วนที่ถูกตัดออกไป
ดังนั้นพระราชบัญญัติแรงงาน จึงได้มีข้อกำหนดคุ้มครองสิทธิ และผลประโยชน์ของลูกจ้าง
พนักงานในบริษัทไว้ ดังนี้
การโอนสิทธิ กฎหมายกำหนดแบบของการโอนสิทธิว่าต้องทำเป็นหนังสือตามประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 สำหรับนายจ้างจะโอนสิทธิความเป็นนายจ้างไปยัง
บุคคลภายนอก หมายถึง การโอนสิทธิการทำงานของลูกจ้าง และโอนสิทธิใช้อำนาจบังคับบัญชาต่อลูกจ้างต้องทำเป็นหนังสือตามที่กฎหมายกำหนด
และต้องไต้รับความยินยอมจากลูกจ้างด้วย ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา 577
หากไม่มีความยินยอมจากลูกจ้างก็ต้องถือว่านายจ้างได้เลิกจ้างลูกจ้างนั้น
อันทำให้ลูกจ้างมีสิทธิเรียกร้องต่างๆ ซึ่งเกิดจากการถูกเลิกจ้าง เช่น สินจ้าง แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
และค่าชดเชย
การโอนหน้าที่ นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายสินจ้างหรือค่าจ้างเงินเดือน
หากมีการควบกิจการ
เกิดขึ้นนายจ้างสามารถโอนหน้าที่ดังกล่าวโดยอาศัยการแปลงหนี้ใหม่
ตามมาตรา 350 กฎหมายมิได้กำหนดแบบไว้แต่การโอนหน้าที่ของคู่สัญญาตามสัญญาจ้างแรงงานนั้นต้องได้รับความยินยอมจากคู่สัญญาอีกฝ่ายเสียก่อนจึงสามารถโอนกันได้
ในกรณีของนายจ้างก็ต้องให้ลูกจ้างตกลงกับบุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้รับโอนหน้าที่นั้นๆ
เนื่องจากตามหลักการแปลงหนี้ใหม่จะกระทำโดยขืนใจลูกจ้างไม่ได้ ทั้งนี้การโอนในลักษณะเด็ดขาดหรือถาวรก็ต้องนำหลักความยินยอมของคู่สัญญามาใช้บังคับด้วย
การโอนลูกจ้างไปให้นายจ้างคนใหม่จึงต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้างด้วย มิฉะนั้นถ้าโอนไปโดยลูกจ้างไม่ยินยอม
โดยลูกจ้างอาจได้รับสินจ้างหรือค่าจ้างเงินเดือนน้อยลงก็จะต้องถือว่าเป็นการเลิกจ้างลูกจ้างนั้นด้วย
เพราะเป็นการลดสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างนั้นที่มา : http://dspace.spu.ac.th/bitstream/123456789/4855/9/9.%20%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%883.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็นของคุณ