วิธีการควบรวมกิจการที่ปรากฏในประเทศไทย


การควบรวมกิจการในประเทศไทยนั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ รูปแบบของการควบ รวมกิจการแต่ละรูปแบบจะมีวิธีการ รวมถึงกฎหมายที่เข้ามาควบคุมทั้งที่เหมือนกันและแตกต่างกันออกไป อาจแบ่งวิธีการควบรวมกิจการออกเป็น 4 ลักษณะ
4.1 การควบรวมกิจการ (Merger)
        การรวมกิจการโดย Merger คือ การรวมกิจการวิธีหนึ่งที่กิจการหนึ่งจะกลืนอีกกิจการ หนึ่ง (Merged Corporation) เข้าไปคงเหลือไว้เพียงกิจการใดกิจการหนึ่ง มิได้มีบริษัทใหม่เกิดขึ้น ซึ่งกิจการที่คงอยู่ (Surviving Corporation) นั้น โดยส่วนมากมักจะเป็นกิจการที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจมากกว่าอีกกิจการ การรวมกิจการโดย Merger นี้ อาจแสดงภาพได้ตามแผนผังข้างล่างนี้



        อย่างไรก็ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มิได้กล่าวถึงการรวมบริษัทในกรณีนี้ไว้ การรวมกันจึงน่าจะต้องอาศัยความยินยอมของผู้ถือหุ้นทั้งหมดของบริษัททั้งหลายที่จะรวมกันและคงผูกพันกันเองตามหลักของสัญญา ไม่อาจผูกพันเจ้าหนี้หรือบุคคลภายนอกผู้มิได้เป็นคู่สัญญาด้วย ทั้งจะมีผลต่อเมื่อมีการจดทะเบียนเลิกบริษัทหนึ่ง และจดทะเบียนแก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิของอีกบริษัทหนึ่งที่ยังคงอยู่ให้รวมกิจการของบริษัทที่เลิกไปเข้าไว้
4.2 การซื้อกิจการ (Acquistion)
        การซื้อกิจการ คือการที่บริษัทหนึ่งได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์หรือเข้าควบคุมบริษัทอื่นบางส่วน หรือทั้งหมด ซึ่งแตกต่างจากการควบรวมธุรกิจ (merger) เพราะการเข้าซื้อกิจการไม่จำเป็นต้องเป็นการรวมบริษัท (amalgamation) หรือการควบรวมธุรกิจ (merger) แต่เป็นการรวมสินทรัพย์ของทุกบริษัทจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่ (consolidation) แม้ว่าการเข้าซื้อกิจการจะมีการเปลี่ยนการเข้าควบคุมโดยสิ้นเชิงแต่บริษัทที่เกี่ยวข้องอาจจะยังคงดำเนินการเป็นอิสระอยู่ ซึ่งการควบคุมบริษัทร่วมกันก็เพื่อแสวงหากำไรให้ได้มากที่สุด โดยแบ่งประเภทของการซื้อกิจการได้ดังนี้
          4.2.1 การได้มาซึ่งหุ้น (Share Acquisition) เป็นรูปแบบของการรวมกิจการโดยที่กิจการแห่งหนึ่งเข้าไปซื้อหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงของกิจการอีกแห่งหนึ่งทั้งหมดหรือบางส่วนโดยกิจการที่เข้าไปซื้อหุ้นนั้นอาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารหรือไม่ก็ตาม ซึ่งสามารถแบ่งวิธีการออกเป็น 2 วิธีใหญ่ๆ คือ
                   1) การซื้อหุ้น (Share Purchase) เป็นกรณีที่บริษัทหนึ่งได้เข้าซื้อหุ้นในอีกบริษัทหนึ่งซึ่งเป็นบริษัทเป้าหมาย (Target Company) โดยมีวัตถุประสงค์ขั้นสุดท้าย เพื่อให้ได้มาซึ่งหุ้นในจำนวนเพียงพอที่จะทำให้บริษัทผู้ซื้อนั้นมีคะแนนเสียงข้างมากในบริษัทเป้าหมาย และสามารถเข้าไปควบคุมบริหารจัดการในบริษัทเป้าหมายได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เป็นลักษณะของการเข้ามามีอำนาจควบคุมในบริษัทเป้าหมายซึ่งมีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้านการบริหารการจัดการภายในของบริษัทและยังอาจรวมถึงการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆ ในบริษัทเป้าหมายได้อีกด้วย
                   2) การแลกหุ้น (Share Swap) สามารถทำได้หลายวิธี โดยทั่วไปวิธีที่เป็นทีนิยม ได้แก่การที่บริษัทผู้ซื้อทำการเสนอซื้อหุ้นของบริษัทเป้าหมาย แต่เนื่องจากบริษัทผู้ซื้อหุ้นไม่ ต้องการชำระค่าหุ้นเป็นเงินสดจึงออกหุ้นของตนให้แทน โดยบริษัทผู้ซื้อจะออกหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้แก่บริษัทเป้าหมายเพื่อเป็นการตอบแทนการชำระค่าหุ้นของบริษัทเป้าหมาย ซึ่งในกรณีนี้จะต้องมีการกำหนดอัตราส่วนในการชำระค่าหุ้นระหว่างบริษัทผู้ซื้อและบริษัทเป้าหมาย เช่น กำหนดให้หุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทผู้ซื้อจำนวน 1 หุ้นมีมูลค่าตอบแทนการชำระราคาหุ้นสามัญของบริษัทเป้าหมายจำนวน 3 หุ้น เป็นต้น
        อนึ่ง การแลกหุ้นอาจทำได้ในกรณีที่บริษัทเป้าหมายตัดสินใจออกตราสารใหม่ อย่างหนึ่ง เพื่อแลกเปลี่ยนกับตราสารเดิมที่เคยออกไว้ ตัวอย่างเช่น บริษัทต้องการเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้นทุน อาจด้วยเหตุผลด้านสภาพคล่อง จึงต้องการออกหุ้นเพิ่มทุน เพื่อแลกกับหุ้นกู้ ซึ่งเคยออกไว้    แต่เดิม หลังจากการแลกหุ้นแล้ว สัดส่วนโครงสร้างของเจ้าของตามความหมายใหม่ ก็จะเปลี่ยนไป โดยโครงสร้างหลังจากแลกหุ้นจะมีสัดส่วนของผู้ถือหุ้นทุนเพิ่มขึ้น การแลกหุ้นอาจทำระหว่างหุ้นทุนกับหุ้นบุริมสิทธิ หุ้นบุริมสิทธิกับหุ้นกู้หรือการจับคู่แบบอื่นก็ได้ ตามแต่บริษัทจะเห็นว่าเหมาะสม และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตราสารที่จะแลกเห็นชอบและตกลงที่จะทำ
        นอกจากนี้ การแลกหุ้นยังสามารถทำได้ในชั้นของบริษัทโฮลดิง (Holding Companies) ซึ่งมีขั้นตอนที่มีความซับซ้อนกว่าการแลกหุ้นโดยตรงระหว่างบริษัทผู้ซื้อและบริษัทเป้าหมาย โดยรูปแบบของการรวมกิจการโดยผ่านบริษัทโฮลดิงสามารถแยกพิจารณาได้เป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ รูปแบบแรกเป็นกรณีที่มีการจัดตั้งบริษัทโฮลดิงขึ้นมาใหม่ โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ของ บริษัทที่จะรวมเข้าด้วยกันโอนหุ้นของตนให้แก่บริษัทโฮลดิง เช่น บริษัท ก. มีผู้ถือหุ้น ก. และ บริษัท ข. มีผู้ถือหุ้น ข. จัดตั้งบริษัท ค. ขึ้นมา และบริษัท ค. ก็จะออกหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท ก. และบริษัท ข. เพื่อให้ผู้ถือหุ้น ก. และผู้ถือหุ้น ข. เข้ามาเป็นถือหุ้นรวมในทั้ง 2 บริษัทโดยผ่านบริษัท ค. ซึ่งมีฐานะเป็นบริษัทโฮลดิง
        สำหรับรูปแบบที่สองเป็นกรณีของบริษัทที่จะเข้ามารวมกิจการกันต่างฝ่ายต่างมีบริษัท  โฮลดิงอยู่แล้ว ก็สามารถใช้บริษัทโฮลดิงดังกล่าวได้โดยตรง ตัวอย่างกรณีศึกษาลักษณะนี้ คือ กรณีที่บริษัทโรบินสันและกลุ่มเซ็นทรัลได้รวมกิจการกันตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตค่าเงิน
          4.2.2 การได้มาซึ่งสินทรัพย์ของกิจการ (AssetAcquisition) เป็นรูปแบบของการรวมกิจการโดยกิจการแห่งหนึ่งเข้าไปซื้อสินทรัพย์ของกิจการอีกแห่งหนึ่งไม่ว่าทั้งหมดหรือในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ (Substantial part of assets) ซึ่งกิจการที่มีการจำหน่ายสินทรัพย์ออกไปอาจจะ ยังคงดำรงอยู่ต่อไปหรือเลือกที่จะเลิกกิจการไปก็ได้ อาจแสดงภาพได้ตามแผนผังข้างล่างนี้


        กรณีจากภาพข้างต้นได้แก่ การที่บริษัท ก. เข้าซื้อกิจการทั้งหมดของบริษัท ข. และ ต่อมาบริษัท ข. ได้เลิกกิจการไป ผลจากการได้มาซึ่งกิจการในรูปแบบนี้ทำให้เหลือเพียงบริษัท ก. อยู่เพียงบริษัทเดียว เป็นต้น โดยหน้าที่และความรับผิดของบริษัท ข. ผู้ขายที่มีอยู่กับบุคคลภายนอกไม่ตกทอดไปยังบริษัท ก. ผู้ซื้อแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม กรณีอาจเป็นไปได้ว่า บริษัทผู้ขายจำหน่ายเพียงสินทรัพย์บางส่วนของตนให้แก่บริษัทผู้ซื้อ โดยที่ภายหลังจากการขาย บริษัทผู้ขายยังคงประกอบกิจการในส่วนอื่นต่อไปอีกก็ได้ ซึ่งอาจแทนได้ด้วยสูตรอย่างง่าย ดังนี้


        ในประเทศไทย การซื้อสินทรัพย์ของกิจการเป็นรูปแบบที่มีการนำมาใช้มากพอสมควร โดยปกติการได้มาโดยวิธีนี้มักจะเป็นการซื้อสินทรัพย์ของกิจการทังที่อยู่ในรูปของทรัพย์สินที่มีรูปร่าง เช่น โรงงาน เครื่องจักร ที่ดิน อุปกรณ์สำนักงานต่างๆ และทรัพย์สิน และ ทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่างต่างๆ ได้แก่ ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า Technical Know-How ต่างๆ       เป็นต้น
        จะเห็นได้ว่า Acquisition มีความต่างกับ Merger ซึ่ง Merger ต้องเป็นการรับเอา ทรัพย์สินและหนี้สินทั้งหมดของบริษัทอื่นมารวมเป็นของบริษัทเดียว แต่ Acquisition อาจ      เป็นการซื้อทรัพย์สินอย่างเดียวซึ่งจะซื้อทั้งหมดหรือบางส่วนก็ได้ส่วนหนี้สินจะรับหรือไม่รับก็ได้ประกอบกับ Merger ต้องเป็นการซื้อหุ้นทั้งหมดของอีกบริษัทหนึ่ง แต่ Acquisition ไม่ต้องซื้อทั้งหมดก็ได้ นอกจากนี้ Merger เกิดจากความสมัครใจของผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญ แต่ Acquisitionอาจเกิดจากการบังคับซื้อโดยผู้ขายไม่สมัครใจก็ได้
          4.2.3 การครอบงำกิจการ (Take Over) หมายถึง การเข้าไปอาศัยโอกาสซื้อหุ้นเพื่อครอบงำกิจการของผู้อื่นซึ่งดำเนินการอยู่แล้ว ให้มีจำนวนเพียงพอที่จะเข้าไปบริหารกิจการ  เป็นการเข้าซื้อกิจการโดยการที่บุคคลหรือกลุ่มนักลงทุนเพื่อหวังควบคุมบริษัท การครอบครองกิจการตามปกติเกิดจากการซื้อหุ้นตามราคาที่สูงกว่าราคาในใบหุ้นและอาจให้เงินช่วยเหลือต่างๆ ซึ่งรวมถึงการจ่ายเงินสด และ/หรือการให้หุ้นของบริษัทเป้าหมาย คำว่าการควบรวม      กิจการ การเข้าซื้อกิจการ และการครอบครองกิจการมักจะใช้แทนกันและมีความแตกต่างระหว่างคำเหล่านี้น้อยมากการ ครอบครองกิจการอาจเป็นการครอบครองทั้งหมดหรือบางส่วนและไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานรวมของบริษัทที่ต้องการรวมกับบริษัทเป้าหมาย
        ซึ่งในกรณีของการเข้าครอบงำกิจการนี้เป็นกรณีที่บริษัทหนึ่งต้องการเข้าดำเนินกิจการของอีกบริษัทหนึ่งโดยไม่ประสงค์จะควบเป็นบริษัทเดียวกัน ถ้าบริษัทแรกสามารถเข้าไปถือ หุ้นส่วนใหญ่ในบริษัทที่สองได้บริษัทแรกก็จะกลายเป็นผู้บริหารงานบริษัทที่สองไปด้วยมีผลให้ บริษัททั้งสองมีผู้ถือหุ้นใหญ่รายเดียวกันและอยู่ภายใต้การบริหารของคณะบุคคลเดียวกัน   บริษัทที่สองกลายเป็นบริษัทในเครือของบริษัทแรกไป การที่บริษัทหนึ่งเข้าไปซื้อหุ้นส่วนใหญ่ในอีกบริษัทหนึ่งนี้อาจมีผลทำให้บริษัททั้งสองรวมกันหรือควบเข้ากันในตอนหลังก็ได้ อย่างไรก็ตามการที่บริษัทแรกซื้อหุ้นของบริษัทที่สองเพื่อเข้าไปดำเนินงานในบริษัทที่สองซึ่งเป็นการครอบงำกิจการ (Take-Over) ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ก็มิได้กล่าวถึงไว้เช่นกัน
        โดยทั่วไปแล้วการ Take Over มีได้ 2 แบบคือ การเข้าครอบงำกิจการแบบเป็นมิตร (Friendly Take Over) และการเข้าครอบงำกิจการแบบไม่เป็นมิตร (Hostile Take-Over) ความแตกต่างกันระหว่างทั้ง 2 แบบนี้ก็คือ แบบเป็นมิตรนั้นเป็นการเข้าซื้อหุ้นของบริษัทด้วยความยินยอมพร้อมใจของทั้งฝ่ายที่ถูกซื้อและฝ่ายที่เข้าไปซื้อ ทั้งนี้อาจจะเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะยินดีรับความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายหนึ่งในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจของฝ่ายที่ถูกซื้อ ส่วนแบบไม่เป็นมิตร คือ การที่ผู้ซื้อเข้าไปไล่ซื้อหุ้นของบริษัทที่ต้องการไม่ว่าจากทางตลาดหลักทรัพย์หรือจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท สำหรับสาเหตุของการเกิดการ Take Over ก็อาจเนื่องมาจากการที่ผู้ที่ตั้งใจจะเข้าไปซื้อเล็งเห็นว่าบริษัทนั้นยังมีศักยภาพการเติบโตในระยะยาวอยู่nจึงต้องการที่จะเข้ามาบริหารจัดการกิจการของบริษัทนั้นเสียเอง เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ที่บริษัทประสบอยู่ และทำให้บริษัทมีผลการดำเนินงานดีขึ้นกว่าเดิม ส่วนการ Take Over แบบไม่เป็นมิตรนั้น มักจะเป็นในกรณี การเข้าไปซื้อบริษัทคู่แข่งในธุรกิจเดียวกัน หรือการเข้าไปซื้อ กิจการที่บริษัทตนเองต้องการต่อยอดธุรกิจ เพราะไม่ต้องเริ่มตั้งต้นสร้างธุรกิจใหม่ตั้งแต่ศูนย์
4.3 การควบรวมกิจการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์และพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 (Consolidation / Amalgamation)
        การรวมกิจการโดย Consolidation/Amalgamation คือการรวมเข้ากันโดยยุบกิจการเดิมทั้งหมด ซึ่งผลของการรวมกิจการดังกล่าวนั้นทำให้เกิดเป็นกิจการใหม่ (Resulting Corporation)
ขึ้นมาแทนและกิจการใหม่ได้เข้าครอบครองทรัพย์สินของกิจการเดิมซึ่งการรวมกิจการชนิดนี้มักนิยมทำกัน เนื่องจากมีข้อดีที่ว่ากิจการที่ถูกควบรวม (Target Corporation) จะไม่รู้สึกว่ากิจการของตนถูกครอบงำหรือถูกกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในอีกกิจการ
        การรวมกิจการโดย Consolidation/Amalgamation อาจแสดงภาพได้ดังแผนผังข้างล่างนี้


        กฎหมายพื้นฐานในการควบบริษัทที่กล่าวมาข้างต้นมีกฎหมายบัญญัติรองรับอยู่ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 22 หมวด 4 ส่วนที่ 9 มาตรา 1238 ถึงมาตรา 1243 และตาม พระราชบัญญัติ บริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 หมวด 12 มาตรา 146 ถึงมาตรา 153
        นอกจากนี้อาจเป็นการควบบริษัทจำกัดกับบริษัทมหาชนจำกัดเข้าด้วยกันก็ได้ ซึ่งสามารถอธิบายได้ ดังนี้
          4.3.1 การควบบริษัทตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ เป็นการรวมบริษัทเดิม    ตั้งแต่ 2 บริษัทขึ้นไปเข้าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนขึ้นใหม่มีบริษัทใหม่เกิดขึ้นและบริษัทเดิมเลิก ไปเป็นการรวมกันของบริษัท ซึ่งในภาษาอังกฤษเรียกว่า Amalgamation หรือ Consolidation บริษัทใหม่จะดำเนินกิจการของบริษัทเดิมต่อไปโดยรับทรัพย์สินหนี้สินสิทธิความรับผิดตลอดจนทุนและผู้ถือหุ้นของบริษัทเดิมมาในการนี้บริษัทใหม่ก็จะให้ค่าตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทเดิมตามส่วน ค่าตอบแทนอาจเป็นเงินหรือจัดสรรหุ้นในบริษัทใหม่ให้หรือให้เป็นหุ้นบางส่วนเป็นเงินหรือหุ้นกู้บางส่วนก็ได้ ผู้ถือหุ้นที่ได้รับหุ้นในบริษัทใหม่ก็จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทใหม่ต่อไปหากไม่รับหุ้นแต่รับค่าตอบแทนอย่างอื่นก็เท่ากับเป็นการขายหุ้นไป
        สำหรับวิธีการและขั้นตอนในการควบรวมกิจการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1238 ถึงมาตรา 1243 ได้บัญญัติไว้ กล่าวคือการควบรวมกิจการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่ละบริษัทที่ตกลงควบกันต้องมีมติพิเศษของที่ประชุมใหญ่ ผู้ถือหุ้นให้ความเห็นชอบและบริษัทต้องนำมติดังกล่าวไปจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันที่การประชุมผู้ถือหุ้น นอกจากนี้แต่ละบริษัทต้องโฆษณาในหนังสือพิมพ์ท้องที่ติดต่อกัน 7 วันเป็นอย่างน้อย และ ส่งคำบอกกล่าวเป็นจดหมายลงทะเบียนไปยังบรรดาบุคคลซึ่งบริษัทรู้ว่าเป็นเจ้าหนี้ของบริษัท และหากเจ้าหนี้ดังกล่าวจะคัดค้านการควบกิจการก็ต้องส่งคำคัดค้านภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่บอกกล่าว หากมีการคัดค้านเกิดขึ้น บริษัทนั้นต้องชดใช้หนี้หรือให้ประกันเพื่อหนี้รายนั้น      เมื่อบริษัทได้ควบเข้ากันแล้ว แต่ละบริษัทต้องนำความไปจดทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่วันที่ควบเข้ากัน และบริษัทที่ได้จัดตั้งขึ้นใหม่นั้นต้องจดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทใหม่ และจะถือว่าบริษัทเดิมที่ควบกันนั้นสิ้นสภาพไป
        ตัวอย่างของความพยายามในการควบบริษัทตามกฎหมายได้แก่ กรณีการรวมบริษัท การบินไทย จำกัด และบริษัท เดินอากาศไทย จำกัด ในปี 2531 ซึ่งในขณะนั้น คณะกรรมการที่กระทรวงคมนาคมตั้งขึ้นได้พยายามคิดหาวิธีที่สะดวกและมีประสิทธิภาพที่สุดในการรวมทั้งสอง บริษัท เพราะเรื่องนี้เป็นนโยบายของรัฐบาล คณะกรรมการดังกล่าวได้ศึกษาวิธีการควบบริษัทจำกัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งเป็นรูปแบบที่ทั้งสองบริษัทควบเข้ากันแล้วตั้งเป็นบริษัทใหม่ โดยที่บริษัทใหม่จะรับไปทั้งสิทธิและหน้าที่ทั้งหมดของทั้งสองบริษัท ในขณะที่บริษัททั้งสองเป็นอันเลิกกันไป แต่เนื่องจากการควบบริษัทในรูปแบบนี้มีจุดอ่อนที่สําคัญอยู่ประการหนึ่งคือ บริษัททั้งสองแห่งจะต้องขอความเห็นชอบจากเจ้าหนี้ตามมาตรา 1240 ซึ่งเป็นปัญหาทางปฏิบัติแก่บริษัททั้งสอง เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีเจ้าหนี้อยู่มาก ในที่สุดคณะกรรมการที่กระทรวงคมนาคมแต่งตั้งก็ได้กำหนดวิธีรวมกันแบบง่ายๆ กล่าวคือ ให้บริษัทเดินอากาศไทยโอนกิจการ ทรัพย์สิน หนี้สิน และกิจการที่มีอยู่ไปให้บริษัทการบินไทย ซึ่งทรัพย์สินทั้งหมดจะสูงกว่าหนี้สิน เพราะบริษัทเดินอากาศไทยดำเนินกิจการมาแล้วมีกำไร เมื่อบริษัทการบินไทยได้รับโอนทั้งทรัพย์สินและหนี้สิน บริษัทการบินไทยได้ออกหุ้นใหม่เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนบริษัทเดินอากาศไทยในราคาหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 1,000 บาท ในจำนวนมูลค่าเท่ากับทรัพย์สินที่สูงกว่าหนี้สิน ซึ่งบริษัทเดินอากาศไทย ได้โอนมาให้บริษัทการบินไทย
          4.3.2 การควบบริษัทตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 พระราชบัญญัติบริษัทมหาชน จำกัด มาตรา 146 ถึงมาตรา 153 ได้บัญญัติวิธีการขั้นตอนและผลที่เกิดขึ้นจากการควบรวมกิจการไว้ โดยกำหนดรูปแบบของการควบกิจการที่เกิดขึ้นไว้ว่ากิจการที่ควบกันนั้นต้องเลิกไป และต้องตั้งกิจการใหม่ขึ้นมาและกิจการที่ตั้งขึ้นมาใหม่รับไปทั้งทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิและหน้าที่ รวมถึงความรับผิดชอบต่างๆ ของกิจการที่ได้ทำการควบเข้าหากัน ซึ่งวิธีการและขั้นตอนในการควบกิจการมีดังนี้
        การควบกิจการใดหากมีบริษัทมหาชนเข้าไปควบด้วยแล้ว บริษัทมหาชนนั้นต้องมีมติของที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทเห็นชอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของ จำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุม และมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน หากผู้ถือหุ้นคัดค้านการควบกิจการดังกล่าว บริษัทต้องจัดให้มีผู้ซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นรายที่คัดค้านดังกล่าวในราคาที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ครั้งสุดท้ายก่อนวันที่มีมติให้ควบบริษัทแต่หากไม่มีราคาชื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ให้ ใช้ราคาตามที่ผู้ประเมินราคาอิสระที่ทั้งสองฝ่ายแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้กำหนด ถ้าผู้ถือหุ้นไม่ยอมขายภายใน 14 วันนับแต่วันได้รับคำเสนอขอซื้อ ให้บริษัทดำเนินการควบบริษัทต่อไปได้ และให้ผู้ถือหุ้นดังกล่าวเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ควบกันแล้ว โดยที่ประชุมต้องมีหนังสือแจ้งไปยังเจ้าหนี้ของบริษัทภายใน 14 วันนับแต่วันที่ที่ประชุมผู้ถือหุ้นลงมติโดยกำหนดเวลาให้ส่งคำคัดค้านภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งมตินั้น หากเจ้าหนี้คัดค้านต้องมีการชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนีให้เรียบร้อย
        จากนั้นประธานกรรมการของบริษัทที่จะควบกันต้องเรียกประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทนั้นๆ เพื่อพิจารณาในเรื่องการจัดสรรหุ้น ชื่อของบริษัทภายหลังจากการควบกิจการแล้ว วัตถุประสงค์ ทุนของบริษัทที่ควบกันแล้ว และรายละเอียดอื่นๆ ตามที่จำเป็นในการควบบริษัท โดยต้องทำการประชุมให้แล้วเสร็จภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่บริษัทใดบริษัทหนึ่งได้ลงมติให้ควบกันเป็นรายหลังสุด เว้นแต่ที่ประชุมดังกล่าวมีมติให้ขยายเวลาออกไป แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 1 ปี และการประชุมดังกล่าวต้องมีผู้ถือหุ้นซึงมีหุ้นนับรวมกนได้ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมดของบริษัทที่จะควบกันมาประชุมจึงถือเป็นองค์ประชุมภายหลังการประชุมเสร็จสิ้น คณะกรรมการบริษัทเดิมต้องส่งมอบกิจการ ทรัพย์สินบัญชีเอกสารต่างๆ ให้แก่คณะกรรมการของบริษัทที่ควบกันแล้วภายใน 7 วัน นับแต่วันที่การประชุมเสร็จลงและคณะกรรมการดังกล่าวต้องจดทะเบียนการควบบริษัทพร้อมกับยื่นหนังสือบริคณห์สนธิและข้อบังคับที่ที่ประชุมอนุมัติต่อนายทะเบียนภายใน 14 วัน นับแต่เสร็จสิ้นการประชุม
        อย่างไรก็ตามการควบรวมกิจการและการครอบงำบริษัทอื่นตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 ไม่ได้จำกัดเฉพาะการควบบริษัทอย่าง Amalgamation เหมือนเช่นใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เท่านั้น เพราะในมาตรา42(6) ได้กำหนดเปิดช่องให้บริษัทมหาชน จำกัด มีอำนาจถือหุ้นจัดการบริษัทอื่นหรือบริษัทเอกชนอื่นใดและกระทำธุรกิจเฉพาะ อย่างร่วมกันกับบริษัทอื่นหรือบริษัทเอกชนอื่นใดได้และมาตรา 107(2)(ก)(ข) และ (ค) ก็ได้ให้อำนาจที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทมหาชนจำกัดสามารถมีมติด้วยคะแนนเสียงสามในสี่ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนในการที่จะขายหรือโอนกิจการของบริษัททั้งหมดหรือบางส่วนที่สำคัญให้แก่บุคคลอื่นหรือซื้อหรือรับโอนกิจการของบริษัทอื่นหรือบริษัทเอกชนมาเป็นของบริษัทหรือทำแก้ไขหรือเลิกสัญญาเกี่ยวกับการให้เช่ากิจการของบริษัททั้งหมดหรือบางส่วนที่สำคัญหรือมอบหมายให้บุคคลอื่นเข้าจัดการธุรกิจของบริษัทหรือรวมกิจการกับบุคคลอื่น โดยมีวัตถุประสงค์จะแบ่งกำไรขาดทุนกันอีกด้วย
        นอกจากนั้นในกรณีที่บริษัทมหาชนจำกัดเป็นบริษัทที่มีหลักทรัพย์จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการก็ต้องปฏิบัติตาม บทบัญญัติของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 245 ถึงมาตรา 259 และอยู่ภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ด้วย
        หมวด 8 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 กำหนดการกระทำอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์และการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการโดยมีหลักเกณฑ์ว่าต้องมีการรายงานการได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ 246 สำหรับ บุคคลใดได้มาหรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการที่อาจทำให้ตนเองหรือบุคคลอื่นเป็นผู้ถือ หลักทรัพย์ในกิจการนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลง เมื่อรวมกันแล้วมีจำนวนทุกๆ ร้อยละ 5 ของจำนวน หลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการนั้น ไม่ว่าจะมีการลงทะเบียน การโอนหลักทรัพย์นั้นหรือไม่ บุคคลนั้นๆ ต้องรายงานการได้มาหรือจำหน่ายไปทุกๆ ร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นที่ได้ จำหน่ายแล้วทั้งหมดทุกครั้ง ส่วนหลักทรัพย์อื่นซึ่งประกอบด้วยใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นหรือ หลักทรัพย์อื่นที่อาจแปลงสภาพแห่งสิทธิเป็นหุ้นได้ ให้รายงานทุกครั้งที่มีการได้มาร้อยละ 5 ของจำนวนหลักทรัพย์นั้นในแต่ละประเภทที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการ การบัญญัติหลักเกณฑ์ในข้อนี้ก็เพื่อคุ้มครองนักลงทุนรายย่อยในกรณีอาจมีการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการในรูปแบบที่ไม่เป็นมิตร
        นอกจากนี้พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 247 วรรคแรก บัญญัติให้บุคคลที่เสนอซื้อหรือได้มาไม่ว่าโดยตนเองหรือร่วมกับบุคคลอื่นเป็นผลให้ตน หรือบุคคลอื่นเป็นผู้ถือหลักทรัพย์ในกิจการรวมกันถึงร้อยละ 25 ขึ้นไปของจำนวนสิทธิออกเสียง ทั้งหมดของกิจการนั้น ให้ถือว่าเป็นการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการจะต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของกิจการนั้นซึ่งถือเป็นกรณีถูกกฎหมายบังคับ เว้นแต่เป็นการได้มาโดยทางมรดก
        จะเห็นได้ว่าการที่พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 กำหนดให้ผู้ที่ได้หลักทรัพย์มาถึงจำนวนร้อยละ 25 ขึ้นไปของจำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของกิจการต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ของกิจการก็เพื่อให้ผู้ถือหลักทรัพย์ของกิจการนั้น     ทุกรายมีโอกาสได้ทราบว่าบุคคลใดจะเข้ามาเป็นผู้มีอำนาจในการจัดการกิจการและพิจารณาว่าตนควรจะถือหุ้นต่อไปหรือควรจะขาย สาเหตุที่กำหนดให้การถือหุ้นจำนวนร้อยละ 25 ขึ้นไปเป็น จำนวนที่ต้องทำคำเสนอซื้อเพราะการถือหุ้นในจำนวนดังกล่าวมีผลทำให้ผู้ถือหุ้นอาจใช้สิทธิของ ตนออกเสียงลงคะแนนในการประชุมผู้ถือหุ้นให้มติของที่ประชุมเป็นไปตามความประสงค์ของ ตนได้
4.4 การควบรวมกิจการที่มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติรองรับไว้
        การควบกิจการของธุรกิจที่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะประกอบด้วย การควบ ธนาคารพาณิชย์ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 การควบบริษัทเงินทุนหรือบริษัทหลักทรัพย์ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 และการควบบริษัทประกันภัยตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 นอกจากนี้ ยังมีการควบรวมกิจการที่มีกฎหมายบัญญัติไว้เป็นกรณีพิเศษอีกด้วยเช่น พระราชกำหนดบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย พ.ศ. 2544 และ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 การควบรวมเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นการควบรวมที่มีกฎหมายบัญญัติไว้เพิ่มเติมนอกเหนือจากบทบัญญัติที่ปรากฏอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด ซึ่งถือเป็นบทบัญญัติทั่วไปที่บริษัทจะต้องถือปฏิบัติเป็นการทั่วไป โดยกฎหมายเฉพาะจะมีบทบัญญัติที่ยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์หรือบทบัญญัติในพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด เพื่อให้การดำเนินการควบกิจการเป็นไปด้วยความสะดวกรวดเร็ว อย่างไรก็ตามหากพิจารณาถึงเหตุผลเบื้องหลังว่าเหตุใดจึงต้องมีบทบัญญัติพิเศษเหล่านี้ก็จะพบว่าบทบัญญัติเพิ่มเติมเหล่านี้เป็นบทบัญญัติสำคัญที่สะท้อนให้เห็นแนวนโยบายของรัฐที่มีต่อธุรกิจที่รัฐควบคุมดูแลเป็นพิเศษ และรัฐได้ใช้วิธีการทางนิติบัญญัติในการที่จะทำให้การบังคับใช้หรือการดำเนินการตามนโยบายของรัฐประสบความสำเร็จและเป็นไปอย่างมีรูปธรรมเป็นสำคัญ
        ทั้งนี้ จากการศึกษาวิธีการควบรวมกิจการของธุรกิจเฉพาะประเภทเหล่านี้ พบว่าการควบกิจการในลักษณะนี้เป็นการรวมกิจการโดยการที่กิจการแห่งหนึ่งซื้อหรือรับโอนสินทรัพย์สุทธิของกิจการอีกแห่งหนึ่งหรือหลายแห่งเข้ามารวมเป็นกิจการเดียวกัน และโดยผลของกฎหมาย กิจการที่ถูกโอนเข้ามานั้นจะต้องเลิกกิจการไปตามวิธีการที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด แล้วแต่กรณี ซึ่งเหตุที่การควบรวมกิจการของบริษัทที่ประกอบธุรกิจเฉพาะนี้ไม่มีลักษณะเป็นการควบกิจการที่ทำให้เกิดบริษัทใหม่ขึ้น และบริษัทเดิมที่ควบเข้ากันหายไป เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว ธุรกิจเหล่านี้เป็นธุรกิจที่จะต้องมีการได้รับใบอนุญาตจึงจะสามารถประกอบธุรกิจได้ และกฎหมายเฉพาะเหล่านี้มักจะกำหนดไว้ในลักษณะที่ว่า การควบกิจการดังกล่าวไม่มีผลเป็นการโอนใบอนุญาตจากบริษัทที่ควบเข้ากันไปยังบริษัทใหม่แต่อย่างใด

ที่มา :
http://dspace.spu.ac.th/bitstream/123456789/4855/9/9.%20%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%883.pdf


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็นของคุณ